การมีรถยนต์สักคัน เป็นความฝันของใครหลายคน เพราะรถไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะที่พาเราไปสู่จุดหมาย แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งความสะดวกสบาย และเป็นเครื่องมือที่ช่วยต่อยอดโอกาสในชีวิต แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ การจะซื้อรถยนต์หนึ่งคันต้องอาศัย “ไฟแนนซ์” หรือการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งนับเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่จะตัดสินว่า เราจะได้เป็นเจ้าของรถคันใหม่สมใจ หรือไม่
ก่อนที่ไฟแนนซ์จะอนุมัติวงเงินให้เรานั้น จำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ และประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้ขอสินเชื่อ จะสามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตลอดรอดฝั่งตามสัญญา การทำความเข้าใจว่า ไฟแนนซ์เช็กอะไรบ้าง จะช่วยให้เราได้เตรียมตัว และจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อให้เป็นไปอย่างราบรื่น และรวดเร็วยิ่งขึ้น
การตรวจสอบประวัติทางการเงิน และเครดิตบูโร
ด่านแรก และหัวใจสำคัญที่สุด ในการพิจารณาสินเชื่อรถยนต์ คือ ประวัติทางการเงิน และข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เครดิตบูโร” เปรียบเสมือนสมุดพกทางการเงิน ที่บันทึกพฤติกรรมการใช้สินเชื่อ และวินัยในการชำระหนี้ทั้งหมดของคุณ ไฟแนนซ์จะให้ความสำคัญกับส่วนนี้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือ และความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ
เครดิตบูโร บอกอะไรบ้าง
ข้อมูลในเครดิตบูโร จะรวบรวมประวัติการขอ และการใช้สินเชื่อทุกประเภทของคุณ จากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อบ้าน รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คันเก่า (ถ้ามี) โดยจะแสดงรายละเอียดสถานะบัญชีในแต่ละเดือนย้อนหลังไปเป็นเวลา 24-36 เดือน เช่น
- สถานะบัญชี : ปกติ, ค้างชำระ, ปิดบัญชีแล้ว
- ประวัติการชำระเงิน : จ่ายตรงเวลา, จ่ายล่าช้า, ไม่เคยขาดส่ง
- ยอดหนี้คงค้าง : จำนวนหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน
ไฟแนนซ์มองหาอะไรในรายงานเครดิตบูโร
สิ่งที่ไฟแนนซ์ต้องการเห็น คือ “ประวัติการชำระหนี้ที่ดี” ซึ่งหมายถึงการจ่ายหนี้ตรงเวลา และครบถ้วนมาโดยตลอด หากคุณมีประวัติเช่นนี้ ไฟแนนซ์จะมองว่าคุณเป็นลูกหนี้ที่มีคุณภาพ และมีความเสี่ยงต่ำ โอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ ก็จะสูงตามไปด้วย
ในทางกลับกัน หากในรายงานปรากฏข้อมูลเชิงลบ เช่น การค้างชำระบ่อยครั้ง, การผิดนัดชำระหนี้ หรือที่เรียกว่า “ติดแบล็กลิสต์” หรือ “ติดบูโร” (แม้ในความจริงเครดิตบูโรจะไม่มีการขึ้นบัญชีดำ แต่เป็นการรายงานข้อมูลตามจริง) สิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็นสัญญาณอันตราย ในสายตาของไฟแนนซ์ทันที เพราะมันสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ขอสินเชื่อ อาจไม่สามารถชำระค่างวดในอนาคตได้ ซึ่งจะส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง หรืออาจถูกปฏิเสธในที่สุด
ดังนั้น ก่อนยื่นขอสินเชื่อรถยนต์ ควรตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรของตนเองให้เรียบร้อย เพื่อประเมินสถานะ และเตรียมความพร้อม หากพบว่ามีประวัติค้างชำระ ควรรีบจัดการปิดยอดหนี้ และสร้างประวัติการชำระเงินที่ดีขึ้นใหม่ ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นกู้
การประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ
หลังจากตรวจสอบความน่าเชื่อถือผ่านเครดิตบูโรแล้ว ขั้นตอนถัดมาที่ไฟแนนซ์ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การประเมิน “ความสามารถในการผ่อนชำระ” หรือพูดง่ายๆ ก็ คือ ไฟแนนซ์ต้องมั่นใจว่า คุณมีรายได้ที่มั่นคง และเพียงพอที่จะจ่ายค่างวดรถในแต่ละเดือน ได้ตลอดอายุสัญญา โดยไม่กระทบต่อการใช้จ่ายที่จำเป็นอื่นๆ
การประเมินในส่วนนี้ จะพิจารณาจากองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ที่มาของรายได้ และภาระหนี้สินปัจจุบัน
แหล่งที่มาของรายได้ และความมั่นคงทางอาชีพ
ไฟแนนซ์จะขอเอกสาร เพื่อพิสูจน์รายได้ของคุณ โดยเอกสารหลักที่ใช้ คือ
- สำหรับพนักงานประจำ : สลิปเงินเดือน (Salary Slip) หรือหนังสือรับรองเงินเดือน จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่แสดงรายได้ที่แน่นอนในแต่ละเดือน ไฟแนนซ์มักจะขอดูข้อมูลย้อนหลัง 3-6 เดือน ประกอบกับ รายการเดินบัญชี (Statement) เพื่อดูความสม่ำเสมอของเงินที่เข้าบัญชี นอกจากนี้ อายุงาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ หากคุณทำงานที่ปัจจุบันมานานกว่า 1 ปี จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือว่าคุณมีงานที่มั่นคง
- สำหรับเจ้าของกิจการ/อาชีพอิสระ : เนื่องจากไม่มีสลิปเงินเดือนที่แน่นอน ไฟแนนซ์จะขอ รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน เป็นหลักฐานสำคัญ เพื่อดูสภาพคล่อง และกระแสเงินสดที่หมุนเวียนในบัญชี รวมถึงอาจขอเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น หนังสือรับรองการจดทะเบียนการค้า, ใบเสร็จการซื้อขาย หรือสัญญาจ้างงาน เพื่อประกอบการพิจารณาความมั่นคงของธุรกิจ หรืออาชีพนั้นๆ
การคำนวณภาระหนี้ต่อรายได้
นี่ คือ ส่วนที่สำคัญที่สุดในการประเมิน ไฟแนนซ์จะนำรายได้ต่อเดือนของคุณ มาหักลบกับภาระหนี้สินเชื่อต่างๆ ที่คุณมีอยู่แล้ว (ข้อมูลจากเครดิตบูโร) เช่น ค่าผ่อนบ้าน, ค่าผ่อนรถคันอื่น, ยอดบัตรเครดิตขั้นต่ำ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อดูว่าหลังจากหักหนี้สินทั้งหมดแล้ว คุณยังเหลือเงินเพียงพอ ที่จะจ่ายค่างวดรถคันใหม่ หรือไม่
โดยทั่วไป สถาบันการเงินมักกำหนดเกณฑ์ว่า ภาระหนี้ทั้งหมดรวมค่างวดรถใหม่แล้ว ไม่ควรเกิน 50-60% ของรายได้ต่อเดือน
ตัวอย่าง
นาย ก. มีรายได้ 30,000 บาท/เดือน มีภาระผ่อนบัตรเครดิต 5,000 บาท/เดือน และต้องการซื้อรถที่ต้องผ่อน 8,000 บาท/เดือน
- ภาระหนี้รวม = 5,000 + 8,000 = 13,000 บาท
- สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ = (13,000 / 30,000) x 100 = 43.3%
คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ และเอกสารประกอบ
ในกรณีนี้ นาย ก. มีแนวโน้มสูง ที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อ เพราะภาระหนี้ยังไม่เกินเกณฑ์ที่ไฟแนนซ์ส่วนใหญ่กำหนดไว้ แต่หากภาระหนี้รวมสูงจนเกือบเท่ากับรายได้ โอกาสที่จะถูกปฏิเสธสินเชื่อก็มีสูงมากเช่นกัน เพราะถือว่ามีความเสี่ยงสูง ที่จะผิดนัดชำระในอนาคต
เมื่อผ่านการตรวจสอบประวัติทางการเงิน และประเมินความสามารถในการผ่อนชำระแล้ว ด่านสุดท้าย คือ การตรวจสอบ คุณสมบัติทั่วไปของผู้ขอสินเชื่อ และความครบถ้วนถูกต้องของ เอกสารประกอบการพิจารณา ซึ่งเป็นส่วนที่ยืนยันตัวตน และข้อมูลทั้งหมดที่คุณได้ให้ไว้กับไฟแนนซ์ การเตรียมเอกสารให้พร้อม และถูกต้อง จะช่วยให้กระบวนการอนุมัติรวดเร็วยิ่งขึ้น
คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ขอสินเชื่อ
โดยทั่วไป สถาบันการเงิน จะกำหนดคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ของผู้ที่สามารถยื่นขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ไว้ดังนี้
- อายุ : ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 20 – 60 ปี (เมื่อรวมระยะเวลาผ่อนแล้วต้องไม่เกิน 65 ปี) เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้กู้อยู่ในวัยทำงาน และมีความสามารถในการหารายได้
- สัญชาติ : ต้องมีสัญชาติไทย
- ภูมิลำเนา : มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งในประเทศไทย สามารถตรวจสอบ และติดต่อได้
เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมให้พร้อม
การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรจัดเตรียมสำเนา พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ในเอกสารทุกฉบับ โดยเอกสารหลักที่ต้องใช้ แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่ดังนี้
1. เอกสารยืนยันตัวตน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ฉบับล่าสุด)
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
2. เอกสารแสดงรายได้ (เพื่อยืนยันความสามารถในการผ่อนชำระ)
- พนักงานประจำ : สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (ฉบับล่าสุด) และรายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง 3-6 เดือน
- เจ้าของกิจการ/อาชีพอิสระ : รายการเดินบัญชีของบุคคล และของกิจการ ย้อนหลัง 6-12 เดือน, หนังสือรับรองบริษัท หรือทะเบียนการค้า (หากจดทะเบียน) และหลักฐานอื่นๆ เช่น ภาพถ่ายกิจการ, สัญญาจ้าง, ใบเสร็จ เป็นต้น
3. เอกสารอื่นๆ (ถ้ามี)
- สำเนาทะเบียนรถยนต์ (กรณีซื้อรถยนต์มือสอง)
- แผนที่บ้านพัก และที่ทำงาน
กรณีต้องมี ผู้ค้ำประกัน
ในบางกรณี ที่ผู้ขอสินเชื่อ มีคุณสมบัติบางอย่างไม่เข้าเกณฑ์อย่างชัดเจน เช่น รายได้ไม่สูงมาก, อายุงานน้อย หรือมีภาระหนี้ค่อนข้างสูง ไฟแนนซ์อาจร้องขอให้มี ผู้ค้ำประกัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และลดความเสี่ยง โดยผู้ค้ำประกันจะต้องมีคุณสมบัติทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีประวัติเครดิตดี และต้องเตรียมเอกสารยืนยันตัวตน และแสดงรายได้เช่นเดียวกับผู้ขอสินเชื่อทุกประการ เพื่อเป็นหลักประกันว่า หากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้ค้ำประกัน จะเข้ามารับผิดชอบหนี้สินนั้นแทนนั่นเอง
โดยสรุปแล้ว การที่ไฟแนนซ์จะอนุมัติสินเชื่อรถยนต์หนึ่งคันนั้น ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การมีวินัยทางการเงินที่ดี ซึ่งสะท้อนผ่านประวัติในเครดิตบูโร, ความสามารถในการผ่อนชำระที่พิสูจน์ได้จากรายได้ และภาระหนี้ที่สมเหตุสมผล ไปจนถึงการมีคุณสมบัติ และเอกสารที่ครบถ้วนถูกต้อง ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในทั้ง 3 ด้านนี้ล่วงหน้า ไม่เพียงแต่จะเพิ่มโอกาสให้คุณได้รับอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นการวางแผนทางการเงินที่มั่นคง เพื่อให้การเป็นเจ้าของรถคันใหม่ นำมาซึ่งความสุข และความสะดวกสบายอย่างแท้จริง โดยปราศจากความกังวลใจในระยะยาว

