เช็กให้ชัวร์ ติดแบล็คลิสออกรถยนต์ได้ไหม รวมทุกข้อสงสัย พร้อมทางออก

ติดแบล็คลิสออกรถยนต์ได้ไหม

การมีชื่ออยู่ใน “แบล็คลิส” หรือมีประวัติค้างชำระหนี้ในเครดิตบูโร คือ หนึ่งในความกังวลอันดับต้นๆ ของผู้ที่ฝันอยากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง หลายคนอาจรู้สึกท้อแท้ และเชื่อว่าประตูสู่การเป็นเจ้าของรถคันใหม่ได้ปิดลงแล้ว เพียงเพราะความผิดพลาดทางการเงินในอดีต ภาพลักษณ์ของการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน กลายเป็นเรื่องที่น่ากลัว จนทำให้หลายคนล้มเลิกความตั้งใจไปก่อนที่จะได้เริ่มต้นค้นหาหนทาง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการมีประวัติทางการเงินที่ไม่ราบรื่นจะเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่บทสรุปสุดท้ายที่ชี้ว่า คุณจะออกรถไม่ได้เสมอไป ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีเงื่อนไข และแนวทางอีกหลายอย่าง ที่อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณ สามารถขอสินเชื่อรถยนต์ได้สำเร็จ แม้จะต้องใช้ความพยายาม และมีข้อจำกัดมากกว่าคนที่มีประวัติใสสะอาดก็ตาม บทความนี้ จะพาไปสำรวจเส้นทาง และเงื่อนไขต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อม และหาทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการมีรถยนต์ไว้ใช้งานอย่างแท้จริง

สารบัญเนื้อหา

1. เช็กสถานะเครดิตบูโรของตนเอง

2. แนวทาง และเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ติดแบล็คลิส

3. ขั้นตอนเตรียมเอกสาร และเจรจากับไฟแนนซ์

เช็กสถานะเครดิตบูโรของตนเอง

ก่อนที่จะกังวลว่า “ติดแบล็คลิสแล้วจะออกรถได้ไหม” สิ่งแรก และสำคัญที่สุด ที่ต้องทำ คือ การทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างแท้จริงผ่าน รายงานข้อมูลเครดิต หรือที่เรียกกันว่า “เช็กเครดิตบูโร” เพราะคำว่า “แบล็คลิส” ไม่ใช่บัญชีดำที่ถูกสร้างขึ้นโดยสถาบันการเงิน แต่เป็นเพียงคำเรียกติดปากของสถานะในรายงาน ที่บ่งชี้ว่า มีประวัติการค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน

การตรวจสอบรายงานเครดิตบูโร จะทำให้คุณเห็นภาพรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนบัญชีสินเชื่อทั้งหมด, ประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง, และ “สถานะบัญชี” ของแต่ละรายการ การรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน จะช่วยให้คุณประเมินโอกาสของตัวเองและวางแผนขั้นต่อไปได้อย่างแม่นยำ

วิธีการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรด้วยตนเอง

คุณสามารถขอรายงานข้อมูลเครดิตได้หลายช่องทาง โดยมีค่าบริการตามที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันอยู่ที่ 100 บาทต่อฉบับ) เลือช่องทางที่สะดวกที่สุดได้ดังนี้

1. ช่องทางออนไลน์ (รวดเร็วที่สุด รับรายงานทางอีเมลได้ภายใน 24 ชั่วโมง หรือทันที)

ผ่านแอปพลิเคชัน Mobile Banking : เป็นวิธีที่นิยม และสะดวกมาก

  • ธนาคารกรุงเทพ (Bangkok Bank)
  • ธนาคารกรุงไทย (Krungthai NEXT)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (KMA)
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb touch)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EASY)
  • ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP Mobile)

ผ่านเว็บไซต์ของตัวแทน : เข้าไปที่เว็บไซต์ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และทำตามขั้นตอน

2. ตู้ ATM (รับรายงานทางไปรษณีย์ภายใน 7 วันทำการ)

  • ตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย และไทยพาณิชย์ : ใช้บัตร ATM หรือบัตรเดบิตของธนาคารนั้นๆ ทำรายการผ่านหน้าตู้

3. ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร (รอรับได้เลยภายใน 15 นาที)

  • อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระราม 9 (โซนพลาซา ชั้น 2)
  • สถานี BTS ศาลาแดง (ภายในสถานี)
  • ห้างเจ-เวนิว นวนคร (ชั้น 1)

4. ที่ทำการไปรษณีย์ไทย (รับรายงานทางไปรษณีย์ภายใน 7 วันทำการ)

  • สามารถยื่นคำขอได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทยทุกสาขา

เมื่อได้รายงานมาแล้วต้องดูอะไร

เมื่อได้รับรายงาน ให้ตรวจสอบ “สถานะบัญชี” ของคุณอย่างละเอียด หากพบสถานะ “20 – มีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน” หรือ “42 – โอน หรือขายหนี้” นี่ คือ สถานะที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และเป็นที่มาของคำว่า “ติดแบล็คลิส” การทำความเข้าใจสถานะของตัวเองอย่างชัดเจน จะเป็นข้อมูลสำคัญในการเตรียมเอกสาร และวางแผนเจรจากับสถาบันการเงินในขั้นตอนต่อไป

แนวทาง และเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ติดแบล็คลิส

เมื่อคุณทราบสถานะเครดิตของตนเองแล้ว แม้จะพบว่า มีประวัติค้างชำระจนเข้าข่าย “ติดแบล็คลิส” ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะนั่นไม่ใช่การตัดสินว่า คุณจะหมดสิทธิ์มีรถยนต์เสมอไป สถาบันการเงิน และบริษัทไฟแนนซ์หลายแห่ง ยังคงเปิดโอกาสให้คุณพิสูจน์ตัวเอง แต่จำเป็นต้องมีเงื่อนไข และคุณสมบัติเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดความเสี่ยงของผู้ให้สินเชื่อ

นี่ คือ แนวทางสำคัญ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์

ปิดบัญชีหนี้เสีย และมีหลักฐานชัดเจน

สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การจัดการหนี้สินเก่าที่ทำให้ประวัติของคุณเสียหายให้เรียบร้อย หากสามารถปิดบัญชีหนี้ดังกล่าวได้ ให้นำหลักฐานการปิดหนี้ (หนังสือยืนยันการชำระหนี้ปิดบัญชี) มาเป็นเอกสารประกอบการยื่นกู้ด้วย แม้ประวัติการค้างชำระจะยังคงแสดงอยู่ในเครดิตบูโรต่อไปอีก 3 ปีนับจากวันที่ปิดบัญชี แต่การแสดงให้เห็นว่า คุณได้จัดการปัญหานั้นจบสิ้นแล้ว จะทำให้ไฟแนนซ์มองคุณในแง่ดีขึ้นอย่างมาก

วางเงินดาวน์ให้สูงกว่าเกณฑ์ปกติ

การวางเงินดาวน์สูง คือ หนึ่งในวิธีที่ดี ที่สุด ในการเพิ่มโอกาสอนุมัติ โดยทั่วไปควรวางเงินดาวน์อย่างน้อย 25% – 30% ขึ้นไป หรือสูงกว่านั้นหากทำได้ การทำเช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมทางการเงิน และความตั้งใจจริงของคุณ ที่สำคัญที่สุด คือ ช่วยลดภาระของผู้ให้สินเชื่อ เนื่องจากยอดจัดสินเชื่อ (ยอดกู้) จะลดลง ทำให้ความเสี่ยงของไฟแนนซ์ต่ำลงตามไปด้วย และยังส่งผลให้ยอดผ่อนต่อเดือนของคุณน้อยลงอีกด้วย

หาผู้ค้ำประกันที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่ง

การมีผู้ค้ำประกัน เปรียบเสมือนการเพิ่มหลักประกันให้กับไฟแนนซ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้ำประกันต้องมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม ดังนี้

  • มีประวัติเครดิตที่ดี : ไม่ติดแบล็คลิส และมีประวัติการชำระหนี้ตรงต่อเวลา
  • มีรายได้ที่มั่นคง และตรวจสอบได้ : โดยปกติรายได้ของผู้ค้ำประกันควรเป็น 2 เท่าของค่างวดรถยนต์
  • เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน : เช่น บ้าน หรือรถยนต์ที่ปลอดภาระหนี้ จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

เลือกสถาบันการเงิน และประเภทสินเชื่อที่เหมาะสม

ไม่ใช่ทุกสถาบันการเงิน ที่จะมีเงื่อนไขเหมือนกัน บางแห่ง อาจมีนโยบายที่ยืดหยุ่นกว่า สำหรับผู้ที่มีประวัติเครดิตไม่สมบูรณ์

  • สินเชื่อจากสถาบันการเงินกลุ่ม Non-Bank : มักจะมีเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นกว่าธนาคารพาณิชย์ แต่อาจแลกมากับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเล็กน้อย
  • สินเชื่อของเต็นท์รถยนต์มือสอง : ผู้ประกอบการบางรายมีบริษัทไฟแนนซ์ของตนเอง หรือมีเงื่อนไขพิเศษกับสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตร ซึ่งอาจพิจารณาอนุมัติให้ง่ายขึ้น แต่ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขสัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

แสดงรายได้ปัจจุบันที่มั่นคง และเพียงพอ

สิ่งสำคัญที่สุด ที่ไฟแนนซ์จะพิจารณา คือ “ความสามารถในการชำระหนี้” ในปัจจุบัน คุณต้องรวบรวมเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า คุณมีรายได้ที่แน่นอน และเพียงพอต่อการผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ได้อย่างสบาย โดยทั่วไป ค่างวดไม่ควรเกิน 40-50% ของรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายประจำทั้งหมดแล้ว หากคุณมีอาชีพเสริม หรือรายได้จากช่องทางอื่น ควรแสดงหลักฐานให้ชัดเจน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ขั้นตอนเตรียมเอกสาร และเจรจากับไฟแนนซ์

หลังจากที่คุณประเมินสถานะของตนเอง และวางแนวทางแก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว ด่านต่อไป คือ การเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด เพื่อยื่นเรื่องกับสถาบันการเงิน การเตรียมเอกสารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ คือ หัวใจสำคัญที่จะชี้วัดว่า คุณจะได้รับอนุมัติ หรือไม่

ขั้นตอนนี้ เปรียบเสมือนการนำเสนอ “โปรไฟล์ทางการเงิน” ของคุณในเวอร์ชันที่ดี ที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าหน้าที่สินเชื่อ

การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน และน่าเชื่อถือ

จัดเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม เป็นชุด เพื่อแสดงความเป็นมืออาชีพ และความใส่ใจของคุณ เอกสารที่จำเป็นโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก

1. เอกสารส่วนบุคคล (ต้องชัดเจน และไม่หมดอายุ)

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  • สำเนาทะเบียนสมรส/ใบหย่า (ถ้ามี)

2. เอกสารแสดงรายได้ (หัวใจของการพิจารณา)

พนักงานบริษัท

  • สลิปเงินเดือน (คาร์บอน) หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (ตัวจริง) ฉบับล่าสุด หรือย้อนหลัง 3-6 เดือน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Bank Statement) 6 เดือนล่าสุด

เจ้าของกิจการ/อาชีพอิสระ

  • หนังสือรับรองบริษัท หรือทะเบียนการค้า
  • รายการเดินบัญชีของบุคคล และของกิจการ ย้อนหลัง 6-12 เดือน
  • หลักฐานอื่นๆ เช่น ภาพถ่ายกิจการ, สัญญาเช่า, ใบเสร็จซื้อ-ขาย, ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20)

3. เอกสารเกี่ยวกับหลักประกัน (กรณีใช้เงื่อนไขพิเศษ)

  • เอกสารของผู้ค้ำประกัน : เตรียมเอกสารส่วนบุคคล และเอกสารแสดงรายได้ของผู้ค้ำประกัน ให้ครบถ้วน เช่นเดียวกับของผู้กู้
  • หลักฐานการวางเงินดาวน์สูง : เตรียมสมุดบัญชี หรือ Statement ที่แสดงให้เห็นว่า มีเงินก้อน พร้อมสำหรับจ่ายเป็นเงินดาวน์

4. เอกสารประกอบอื่นๆ (เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ)

  • หนังสือยืนยันการชำระหนี้ปิดบัญชี : หากคุณได้เคลียร์หนี้เก่าที่เคยเป็นปัญหาแล้ว เอกสารนี้สำคัญมาก ต้องแนบไปด้วยทุกครั้ง
  • สัญญาเช่าบ้าน หรือหลักฐานการผ่อนชำระทรัพย์สินอื่นๆ ที่มีประวัติดี
  • ใบเสร็จค่าสาธารณูปโภคที่แสดงที่อยู่ปัจจุบัน

เทคนิคการเจรจา และสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์

การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ไม่ใช่การไปแก้ตัว แต่เป็นการไปนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง อย่างตรงไปตรงมา และมั่นใจ

ยอมรับประวัติในอดีต : อย่าปิดบัง หรือให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับประวัติเครดิตของคุณ แจ้งเจ้าหน้าที่ตามตรงว่า ในอดีตเคยมีปัญหา แต่ปัจจุบันได้จัดการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว พร้อมยื่น “หลักฐานการปิดหนี้” ประกอบ

นำเสนอจุดแข็งของตัวเอง : หลังจากชี้แจงเรื่องในอดีตแล้ว ให้ดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่มาที่จุดแข็งของคุณในปัจจุบัน เช่น

  • “ถึงผมเคยมีประวัติ แต่ตอนนี้ผมได้เตรียมเงินดาวน์ไว้ 30% เพื่อลดความเสี่ยงของทางไฟแนนซ์ครับ”
  • “ผมมีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นข้าราชการ และมีรายได้มั่นคง พร้อมเอกสารยืนยันครบถ้วนครับ”
  • “รายรับปัจจุบันของผมมีความแน่นอน สามารถดูได้จาก Statement และเพียงพอต่อการผ่อนชำระแน่นอนครับ”

แสดงความพร้อม และความเข้าใจ : สอบถามเงื่อนไขต่างๆ ด้วยความเข้าใจ เช่น อัตราดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียม, และยอดผ่อนชำระ เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณได้วางแผนการเงินมาอย่างดี และพร้อมสำหรับภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น

รักษาทัศนคติที่ดี : การสื่อสารด้วยท่าทีที่สุภาพ มั่นใจ และให้ความร่วมมือ จะสร้างความประทับใจที่ดี และทำให้เจ้าหน้าที่อยากช่วยเหลือ และหาทางออกที่ดีที่สุดให้คุณ

การเตรียมตัวที่ดี จะเปลี่ยนสถานะจากฝ่ายที่เสียเปรียบ ให้กลายเป็นผู้กู้ที่มีคุณภาพ และมีความรับผิดชอบในสายตาของสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับข่าวดีในที่สุด

ท้ายที่สุดนี้ แม้ว่าการออกรถยนต์ ในขณะที่ยังมีประวัติในเครดิตบูโร จะเป็นเส้นทางที่ท้าทาย และต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสมอไป หัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับความจริง, การวางแผนอย่างรอบคอบ, และการเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเคลียร์หนี้เก่า, การเก็บออมเงินดาวน์, หรือการหาผู้ค้ำประกันที่ดี ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวินัย และความรับผิดชอบทางการเงินครั้งใหม่ของคุณ ที่จะนำไปสู่การเป็นเจ้าของรถยนต์ตามที่ตั้งใจ และเป็นก้าวแรกที่มั่นคงสู่อนาคตทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น