“พ.ร.บ.” คือ เอกสารแผ่นเล็กๆ ที่ผู้ใช้รถยนต์ทุกคนต้องมีติดรถไว้เสมอตามกฎหมาย หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงข้อบังคับที่ต้องต่ออายุทุกปี แต่แท้จริงแล้ว “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” หรือ พ.ร.บ. ฉบับนี้ คือ หลักประกันขั้นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งบนท้องถนน เป็นสัญญาที่รัฐกำหนดขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ จะต้องได้รับการเยียวยาดูแลในเบื้องต้นโดยทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอพิสูจน์ว่าใครเป็นฝ่ายถูก หรือผิด
ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของความคุ้มครอง เรามาทำความเข้าใจภาพรวมกันก่อนว่า พ.ร.บ. นั้นมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือ “บุคคล” เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือแม้แต่คนเดินเท้าที่ประสบเหตุ โดยจะมอบความคุ้มครองในรูปแบบของค่ารักษาพยาบาล และเงินชดเชยกรณีทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต แต่จะไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ “ทรัพย์สิน” หรือตัวรถยนต์แต่อย่างใด บทความนี้ จะพาคุณไปเจาะลึกในแต่ละหัวข้อว่า สิทธิประโยชน์ที่เราทุกคนจะได้รับจาก พ.ร.บ. นั้นมีอะไรบ้าง และครอบคลุมมากน้อยเพียงใด
พ.ร.บ. คืออะไร ทำไมรถทุกคันต้องมี
หลายคนอาจเรียกติดปากว่า “พ.ร.บ.” แต่ชื่อเต็มของเอกสารสำคัญฉบับนี้ คือ “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535” ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับให้ยานพาหนะทางบกทุกประเภท ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก (เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ) จะต้องจัดทำประกันภัยภาคบังคับนี้ เพื่อเป็นหลักประกันพื้นฐานว่า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับรถ จะได้รับการช่วยเหลือ และเยียวยาด้านการเงินอย่างทันท่วงที
ความสำคัญ และเหตุผลที่รถทุกคันต้องมี พ.ร.บ.
หัวใจหลักของกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้อยู่ที่การซ่อมรถ แต่มีวัตถุประสงค์ เพื่อ “คุ้มครองคน” เป็นสำคัญ ลองจินตนาการถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน หากไม่มี พ.ร.บ. ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ อาจต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาลด้วยตนเอง หรือในกรณีที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ครอบครัวก็อาจไม่ได้รับการเยียวยาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคู่กรณีไม่มีความสามารถในการชดใช้ค่าเสียหาย
ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจึงกำหนดให้ พ.ร.บ. เป็นประกันภัยภาคบังคับ เพื่อสร้างหลักประกันทางสังคมให้เกิดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ดังนี้
- คุ้มครองผู้ประสบภัยทุกคน : ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก (เช่น คนเดินเท้า) ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะได้รับการดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ์ทันที
- เป็นหลักประกันการชดเชย : ช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินของทายาท ในกรณีที่ผู้ประสบภัยเสียชีวิต หรือช่วยเหลือผู้ที่ทุพพลภาพให้ได้รับเงินชดเชย
- ลดภาระของสังคม และภาครัฐ : ทำให้ผู้ประสบภัย สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีวงเงินจาก พ.ร.บ. ช่วยสนับสนุน ลดปัญหาการปฏิเสธการรักษา และลดภาระงบประมาณของรัฐในการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ
ดังนั้น การมี พ.ร.บ. ไม่ใช่แค่การทำตามกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ หรือเพื่อใช้เป็นเอกสารในการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีเท่านั้น แต่คือการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และสร้างความมั่นใจว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จะมีเกราะป้องกันทางการเงินด่านแรก ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนบนท้องถนน
คุ้มครองทันที ค่าเสียหายเบื้องต้น ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด
จุดเด่นที่สุด และเป็นหัวใจสำคัญของ พ.ร.บ. คือ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะป้องกันด่านแรก ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากรถทุกคน โดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ความรับผิด หมายความว่า ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จะได้รับความคุ้มครองนี้ทันที ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายถูก หรือฝ่ายผิดก็ตาม
หลักการนี้ ถูกออกแบบมา เพื่อลดภาระ และทำให้ผู้ประสบภัยทุกคน สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็วที่สุด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น และไม่ต้องรอจนกว่ากระบวนการทางกฎหมาย หรือการสืบสวนของตำรวจจะสิ้นสุดลง
สิทธิประโยชน์ และวงเงินที่ได้รับ
ค่าเสียหายเบื้องต้น จะถูกจ่ายให้กับผู้ประสบภัย (ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก) ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด ดังนี้
1. ค่ารักษาพยาบาล : กรณีได้รับบาดเจ็บ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดคนละ 30,000 บาท สถานพยาบาล สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากบริษัทประกันภัยได้โดยตรง โดยผู้ประสบภัยไม่ต้องสำรองจ่าย (ยกเว้นในบางกรณี)
2. กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร : จะได้รับเงินชดเชยเป็นจำนวนเงิน 35,000 บาทต่อคน
- กรณีเสียชีวิต : ทายาทโดยธรรมจะเป็นผู้ได้รับค่าปลงศพ
- กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร : ผู้ประสบภัยจะได้รับเงินชดเชยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ข้อควรรู้
- รวมกันไม่เกิน 65,000 บาท : ในกรณีที่ผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายทั้งบาดเจ็บ และต่อมาเกิดทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน
- ระยะเวลาในการยื่นเรื่อง : ผู้ประสบภัย หรือทายาท ต้องยื่นเรื่องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นภายใน 180 วัน นับจากวันที่เกิดเหตุ
- การจ่ายที่รวดเร็ว : บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัย หรือทายาทภายใน 7 วัน หลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน
การมีอยู่ของค่าเสียหายเบื้องต้นนี้เอง ที่ทำให้ พ.ร.บ. เป็นมากกว่ากระดาษแผ่นเดียว แต่เป็นหลักประกันชีวิตที่สร้างความอุ่นใจให้แก่ทุกคน ที่ใช้รถใช้ถนนในประเทศไทย
ความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับ ฝ่ายถูก ค่าสินไหมทดแทนที่มากกว่า
หลังจากที่ผู้ประสบภัยทุกคนได้รับ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” ไปแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การพิสูจน์ความรับผิด เมื่อผลสรุปออกมาว่าผู้ประสบภัยเป็น “ฝ่ายถูก” (หรือในกรณีของผู้โดยสารในรถคันที่ทำประกันซึ่งคนขับเป็นฝ่ายผิด) บุคคลนั้นจะได้รับสิทธิ์ในการเบิกค่าชดเชยเพิ่มเติมที่เรียกว่า “ค่าสินไหมทดแทนส่วนที่เกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้น” ซึ่งมีวงเงินความคุ้มครองที่สูงกว่ามาก
ค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ จะถูกจ่ายจาก พ.ร.บ. ของรถยนต์คันที่เป็น “ฝ่ายผิด” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และชีวิตอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
วงเงินความคุ้มครองสูงสุดสำหรับฝ่ายถูก
เมื่อรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นที่ได้รับไปแล้วในตอนแรก ฝ่ายถูกจะมีสิทธิ์ได้รับค่าสินไหมทดแทนตามรายการต่อไปนี้ รวมกันสูงสุดไม่เกิน 504,000 บาทต่อคน
1. ค่ารักษาพยาบาล : สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติม จากค่าเสียหายเบื้องต้นได้ตามที่จ่ายจริง รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท
- ตัวอย่าง : หากมีค่ารักษาพยาบาล 70,000 บาท จะเบิกจากค่าเสียหายเบื้องต้นก่อน 30,000 บาท และมาเบิกส่วนที่เหลืออีก 40,000 บาท จากค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้
2. กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง : จะได้รับเงินชดเชยเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท
- ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หมายถึง ไม่สามารถประกอบอาชีพการงานใดๆ เพื่อรับค่าจ้างได้อีกต่อไป
3. กรณีสูญเสียอวัยวะ : วงเงินชดเชยจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของการสูญเสียอวัยวะ ตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เช่น
- สูญเสียมือหนึ่งข้าง (ตั้งแต่ข้อมือ) ได้รับ 250,000 บาท
- สูญเสียขาสองข้าง หรือตาสองข้าง ได้รับ 500,000 บาท
4. เงินชดเชยรายวัน (สำหรับผู้ป่วยใน) : กรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน (Admit) จะได้รับเงินชดเชย เพื่อทดแทนการขาดรายได้วันละ 200 บาท เป็นจำนวนสูงสุดไม่เกิน 20 วัน (รวมเป็นเงิน 4,000 บาท)
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อมีการพิสูจน์ความรับผิดเรียบร้อยแล้ว พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครองแก่ฝ่ายที่ถูกต้องอย่างครอบคลุมมากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เท่าที่เป็นไปได้ภายใต้ประกันภัยภาคบังคับนี้
ใครบ้างที่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถยนต์
กฎหมาย พ.ร.บ. ถูกออกแบบมาให้มีขอบเขตความคุ้มครองที่กว้างขวาง เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ “ทุกคน” ที่ประสบภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่ได้รับความคุ้มครองออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้
ผู้ขับขี่
ผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครอง แต่สิทธิ์ที่จะได้รับจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเป็นฝ่ายถูก หรือฝ่ายผิด
- ผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายผิด : จะได้รับความคุ้มครองเฉพาะ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” เท่านั้น (ค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 30,000 บาท และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพ 35,000 บาท) จะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนส่วนเกิน
- ผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายถูก : จะได้รับสิทธิ์เต็มที่ โดยสามารถเบิกได้ทั้ง “ค่าเสียหายเบื้องต้น” และ “ค่าสินไหมทดแทนส่วนเกิน” จนครบวงเงินสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด (ค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 80,000 บาท, ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพสูงสุด 500,000 บาท และเงินชดเชยรายวัน)
ผู้โดยสาร
บุคคลที่สำคัญที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่ง พ.ร.บ. ให้ความคุ้มครองอย่างเต็มที่ คือ ผู้โดยสารที่มากับรถคันที่เกิดเหตุ
- ผู้โดยสารในรถจะถูกนับเป็น “ฝ่ายถูก” เสมอ : ไม่ว่าคนขับรถคันที่ตนนั่งมา จะเป็นฝ่ายถูก หรือฝ่ายผิดก็ตาม ผู้โดยสารจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดเต็มจำนวนเสมอ พวกเขามีสิทธิ์เบิกค่าเสียหายได้ทั้งค่าเสียหายเบื้องต้น และค่าสินไหมทดแทนส่วนเกินจาก พ.ร.บ. ของรถคันที่ตนเองโดยสารมา
บุคคลภายนอก
บุคคลภายนอกในที่นี้หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในรถคันที่เอาประกัน แต่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ เช่น
- คนเดินเท้า
- คนขี่จักรยาน
- ผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารในรถคันอื่น
บุคคลเหล่านี้ จะถือเป็น “ฝ่ายถูก” และมีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวน (ทั้งค่าเสียหายเบื้องต้น และค่าสินไหมทดแทนส่วนเกิน) จาก พ.ร.บ. ของรถยนต์คันที่เป็นฝ่ายผิด
โดยสรุป พ.ร.บ. รถยนต์ให้ความคุ้มครองแก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ แต่จะให้สิทธิ์ประโยชน์ที่แตกต่างกันไปตามสถานะว่าเป็นฝ่ายถูก หรือผิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ต้องการให้การเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายเป็นสำคัญที่สุด
ต้องรู้ กรณีใดบ้างที่ พ.ร.บ. ไม่ให้ความคุ้มครอง
แม้ว่า พ.ร.บ. จะมีวัตถุประสงค์ เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีข้อยกเว้นที่ชัดเจน ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่า จะไม่ให้ความคุ้มครอง เพื่อป้องกันการนำประกันภัยไปใช้ในทางที่ผิด หรือในสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือเจตนารมณ์ของกฎหมาย การทราบถึงข้อยกเว้นเหล่านี้ จะช่วยให้เราเข้าใจสิทธิ์ของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
ข้อยกเว้นหลักที่ พ.ร.บ. ไม่คุ้มครอง
บริษัทประกันภัย มีสิทธิ์ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หากอุบัติเหตุนั้นเข้าข่ายกรณีดังต่อไปนี้
1. การใช้รถนอกอาณาเขตประเทศไทย : ความคุ้มครองของ พ.ร.บ. จะมีผลบังคับใช้เฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ภายในราชอาณาจักรไทยเท่านั้น
2. การนำรถไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย : เช่น การนำรถไปใช้ปล้นทรัพย์ ขนส่งยาเสพติด หรือก่ออาชญากรรมอื่นๆ หากเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการกระทำความผิดนั้น พ.ร.บ. จะไม่คุ้มครอง
3. การใช้รถในการแข่งขันความเร็ว : การนำรถยนต์ไปใช้แข่งขันบนท้องถนน หรือในสนามแข่งที่ไม่ได้จัดขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง โดยเจตนา และอยู่นอกเหนือความคุ้มครอง
4. ผู้ขับขี่เมาแล้วขับ (เฉพาะในส่วนของผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายผิด)
- สำหรับบุคคลอื่น : ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ยังคงได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ของรถคันที่เมาแล้วขับ
- สำหรับผู้ขับขี่ที่เมา : หากผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด และมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเบิกได้เฉพาะ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” เท่านั้น จะไม่สามารถเบิกค่าสินไหมทดแทนส่วนเกินได้ แม้ตนเองจะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม
5. อุบัติเหตุที่เกิดจากสงคราม การรุกราน หรือการก่อการร้าย : ความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านี้ ถือเป็นข้อยกเว้นทั่วไปของประกันภัย
6. รถที่ถูกโจรกรรม หรือชิงทรัพย์มา : หากผู้กระทำผิดนำรถที่ขโมยมาไปก่อให้เกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. ของรถคันดังกล่าวจะไม่คุ้มครอง (แต่ผู้ประสบภัยยังสามารถใช้สิทธิ์จาก “กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ” ได้)
สิ่งที่สำคัญที่สุด พ.ร.บ. ไม่คุ้มครองทรัพย์สิน
ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดที่ต้องย้ำ คือ พ.ร.บ. คุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อ “ชีวิต ร่างกาย และอนามัย” ของบุคคลเท่านั้น จะ ไม่ครอบคลุม ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น
- ค่าซ่อมรถยนต์ของตัวเอง
- ค่าซ่อมรถยนต์ของคู่กรณี
- ความเสียหายต่อทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รั้วบ้าน เสาไฟฟ้า หรือของที่บรรทุกมา
ความคุ้มครองในส่วนของทรัพย์สินเหล่านี้ จะอยู่ในความรับผิดชอบของ “ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ” (ประกันชั้น 1, 2+, 3+, 2, 3) ที่เราเลือกซื้อเพิ่มเติมเอง ดังนั้น การมีแค่ พ.ร.บ. เพียงอย่างเดียว จึงไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมดจากการใช้รถใช้ถนนได้
โดยสรุปแล้ว พ.ร.บ. รถยนต์ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คือ หลักประกันภาคบังคับที่สำคัญยิ่ง ซึ่งมุ่งเน้นการให้ความคุ้มครองแก่ “คน” เป็นหัวใจหลัก โดยมอบสิทธิ์ในการเข้าถึง “ค่าเสียหายเบื้องต้น” อย่างทันท่วงที แก่ผู้ประสบภัยทุกคน โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด และมอบ “ค่าสินไหมทดแทน” ที่มากขึ้น สำหรับผู้ที่เป็นฝ่ายถูก เพื่อการเยียวยาที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น
แม้ พ.ร.บ. จะไม่คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือตัวรถยนต์ แต่การมีอยู่ของกฎหมายฉบับนี้ ก็เปรียบเสมือนเกราะป้องกันขั้นพื้นฐาน ที่สร้างความอุ่นใจให้แก่ทุกชีวิตบนท้องถนน และเป็นเครื่องยืนยันว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จะไม่มีใครถูกทอดทิ้งไว้โดยปราศจากการดูแลเบื้องต้น